ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่าน เมื่อต้องการหาหนังที่ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์หรือหนังตลาดดูสักเรื่องนึง ก็จะเข้าไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์ IMDb หรือ Rotten Tomatoes ก่อนเสมอ เพื่อดูว่าหนังเรื่องนั้น “ดี” หรือ “ไม่” วันนี้เรามาดู 10 อันดับหนัง ที่มีเรตติ้งสูงสุดตลอดกาลจากเว็บไซต์ IMDb กันครับ
1. The Shawshank Redemption (ชอว์แชงค์ มิตรภาพ ความหวัง ความรุนแรง) (1994) – Rate 9.2
เป็นภาพยนตร์อเมริกัน แนวดราม่า ที่ออกฉายในปี 1994 (พ.ศ. 2537) กำกับการแสดงโดย แฟรงก์ ดาราบอนต์ ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา สร้างจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน เรื่อง Rita Hayworth and Shawshank Redemption ในปี ค.ศ. 1982 นำแสดงโดย ทิม ร็อบบินส์ แสดงเป็นแอนดี้ ดูเฟรย์ และ มอร์แกน ฟรีแมน แสดงเป็น เอลลิส บอยด์ “เรด” เรดดิง ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวเกือบ 2 ทศวรรษของแอนดี้ในคุกชอว์แชงค์และมิตรภาพกับเรด รวมถึงเรื่องราวชีวิตสะเทือนอารมณ์ของผู้คนในเรือนจำชอว์แชงค์
2. The Godfather (เดอะก็อดฟาเธอร์) (1972) – Rate 9.2
เดอะ ก็อดฟาเธอร์ สร้างจากนิยายของ มาริโอ พูโซ เป็นหนังแนวแอ็คชั่น+ดราม่า มีโรแมนติคเป็นส่วนประกอบในเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของครอบครัวมาเฟียเชื้อสายอิตาลีในอเมริกายุค 1940-1950 ซึ่งทรงอำนาจ มีบทบาทอย่างสูง และต้องดำรงอยู่บนเส้นทางแห่งอิทธิพล ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจ การหักหลัง การใช้ความรุนแรงของอิทธิพลเถื่อนระหว่างแก๊งมาเฟียกลุ่มต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว คนในปกครอง และการก้าวขึ้นเป็นใหญ่บนวิถีแห่งมาเฟีย
เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ได้รับการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ IMDb ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอันดับสอง จาก 250 อันดับ และถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลจัดลำดับโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน จากการจัดลำดับใหม่ใน ปี2007
3. The Godfather: Part II (เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2) (1974) – Rate 9.0
เดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวมาเฟียชาวอิตาลี สองรุ่น คือรุ่นพ่อ และรุ่นลูก โดยนำเสนอชีวิตของ วีโต คอร์เลโอเน (รับบทโดย โรเบิร์ต เดอ นิโร) ตั้งแต่วัยเด็กที่ เกาะซิซิลี จนเริ่มสร้างอิทธิพลขึ้นมาเป็นมาเฟียใหญ่ ในนิวยอร์ก สลับกับชีวิตของ ไมเคิล คอร์เลโอเน (รับบทโดย อัล ปาชิโน) ลูกชายคนสุดท้อง ผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าครอบครัว ที่ต้องพบกับเรื่องยุ่ง ๆ ทั้งจากศัตรู และการถูกตรวจสอบจากรัฐบาลกลาง เป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากภาคแรก
สืบเนื่องจากความสำเร็จของภาพยนตร์ภาคแรก ที่ได้รับรางวัลออสการ์ 3 รางวัล ก่อนเดอะ ก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 จะเริ่มฉาย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ภาพยนตร์ภาคต่อจากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มักจะล้มเหลว ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ภาคต่อเพียงไม่กี่เรื่อง ที่ได้รับคำชื่นชมว่า สามารถสร้างได้เทียบเท่า หรือดีกว่าภาคก่อนหน้า เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 ได้รับการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ IMDb ให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอันดับ 3
เดอะก็อดฟาเธอร์ ภาค 2 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งสิ้น 11 รางวัล ได้รับรางวัล 6 รางวัล รวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และนักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม (โรเบิร์ต เดอ นิโร)
4. The Dark Knight (แบทแมน อัศวินรัตติกาล) (2008) – Rate 9.0
ภาพยนตร์เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน นำแสดงโดย คริสเตียน เบล เนื้อหาของแบทแมน อัศวินรัตติกาล จะเป็นการเผชิญหน้ากันของแบทแมนและโจ๊กเกอร์ อาชญากรสมองใสที่ทำให้ชาวเมืองก๊อธแธมต้องหวาดกลัว นอกจากนั้นยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นฮีโร่ของแบทแมนซึ่งมีเนื้อหาที่ซับซ้อนและผสมดราม่าไว้มาก ทำให้ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากหลายสำนัก ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ครั้งสุดท้ายของ ฮีธ เลดเจอร์ ผู้รับบทเป็นโจ๊กเกอร์ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย
แบทแมน อัศวินรัตติกาล ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขาด้วยกัน และได้รับรางวัลมา 2 สาขา ได้แก่ สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จาก ฮีธ เลดเจอร์ ดาราผู้ล่วงลับไปก่อนที่ภาพยนตร์ออกฉาย
5. 12 Angry Men (12 คนพิพากษา) (1957) – Rate 8.9
เรื่องราวว่าด้วยลูกขุนทั้ง 12 คนที่ได้รับมอบหมายให้มาตัดสินคดีของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำปิตุฆาต(ฆ่าพ่อตัวเอง) ว่าผิดจริงหรือไม่? โดยมีกฎว่าคำตัดสินของลูกขุนทุกคนต้องออกมาเป็นเอกฉันท์เท่านั้นถึงจะตัดสินคดีและลูกขุนทุกคนสามารถออกจากห้องพิจารณาคดีได้ แต่ถ้าเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ก็ต้องถกกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกขุนทุกคนจะเห็นพ้องกัน
ซึ่งตอนแรกลูกขุนส่วนใหญ่ก็ฟังธงกันไปเรียบร้อยแล้วว่าเด็กชายผิดจริงแน่นอน เมื่อดูจากหลักฐานมากมายในชั้นศาล แต่ผลโหวตกลับออกมาเป็น”ผิดจริง 11 เสียง ไม่ผิดจริง 1 เสียง” เพราะหนึ่งในลูกขุนทั้ง 12 คน คือ ลูกขุนหมายเลข 8 (Henry Fonda) เห็นว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินประหารชีวิตคนโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
ทำให้ลูกขุนทั้ง 11 คน จำต้องหาวิธีพูดโน้มน้าวลูกขุนหมายเลข 8 คนนี้ ให้เห็นพ้องว่าผู้ต้องหา(เด็กชาย) ผิดจริงตามที่พวกเขาคิด แต่ยิ่งถกกันมากเท่าไหร่ พยานหลักฐานต่าง ๆ ก็ยิ่งมีความขัดแย้งกันเองมากขึ้นเท่านั้น สรุปแล้วเด็กชายผิดจริงรึไม่? ต้องไปติมตามชมกันเองนะครับ
6. Schindler’s List (ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม) (1993) – Rate 8.9
Schindler’s List ได้รับการกำกับโดย Steven Spielberg สร้างมาจากเรื่องจริง อันเป็นประวัติของ Oskar Schindler นักบุญชาวเยอรมัน ผู้ที่ช่วยชาวยิวกว่า 1,000 คน ออสการ์ ชินเดอร์ เป็นนักธุรกิจชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีเส้นสายสนิทสนมกับพรรคนาซี เขาได้ใช้เส้นสายนี้ในการกอบโกยเงินมหาศาล โดยมีชาวยิวเป็นคนงานในโรงงานเขา จนกระทั่งเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ชาวยิวไม่ได้แค่ถูกกักพื้นที่ แต่ยังโดนรวบรวมไปเข้าค่ายกักกัน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ออสการ์ ชิลเดอร์ จึงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเพื่อนมนุษย์ตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีใครเหลียวแล เขาจึงทำการช่วยเหลือชาวยิวจำนวนมากมาย เพื่อให้มีชีวิตรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้ และเป็นที่มาของ “Schindler’s list”
7. The Lord of the Rings: The Return of the King (มหาสงครามชิงพิภพ) (2003) – Rate 8.9
ในเนื้อเรื่อง เซารอน เดินทัพใหญ่เพื่อทำสงครามพิชิตพลเมืองมิดเดิลเอิร์ธ พ่อมดแกนดัล์ฟ กับ กษัตริย์เธโอเดน แห่งโรฮัน จึงต้องยกทัพมาช่วยอาณาจักรกอนดอร์ อารากอร์นจะต้องนำทัพทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับเซารอนให้ได้ แม้ว่าในที่สุดแล้วจะไม่มีความหวังเลยก็ตาม เพราะผลแห่งชะตาของมิดเดิลเอิร์ธขึ้นอยู่กับฮอบบิทสองคน คือโฟรโดและแซม ว่าจะสามารถนำแหวนเอกไปทำลายที่เมาท์ดูม โดยเอาชนะความยั่วยวนในอำนาจของแหวน และการหักหลังของกอลลัมได้หรือไม่
8. Pulp Fiction (เขย่าชีพจรเกินเดือด) (1994) – Rate 8.9
ภาพยนตร์สุดคลาสสิก ผลงานอำมตะสุดยิ่งใหญ่ของ เควนติน ทาเรนติโน่ ที่สามารถสะกดคนทั่วโลก ให้ตะลึงมาแล้วในเทสกาลเมืองคานส์ และยังเป็นภาพยนตร์ที่รวมซุปเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่าง จอห์น ทราโวลต้า, แซมมวล แอล. แจ็คสัน, บรู๊ซ วิลลิส จาก Sin City, และ นักฆ่าสาวจาก Kil Bill ทั้ง 2 ภาค อย่าง อูม่า เธอร์แมน ร่วมประชันบทบาทกันอย่างเชือดเฉือนชวนให้ติดตาใน “PULP FICTION พั๊ลพ์ ฟิคชั่นเขย่าชีพจรเกิดเดือด” ที่การันตีด้วยรางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
3 เรื่องราวความบังเอิญของคนที่กำลังจะซวยแบบที่ใครก็ช่วยไม่ได้กำลังจะเกิด และเหตุการณ์ทั้งหมดกลับเกี่ยวพันกันอีกต่างหาก…เริ่มจาก 2 มือปืนสุดเห่ย วินเซนต์ และ จูลล์ ได้รับมอบหมายให้ดูแล มีอา ภรรยาเจ้านายเป็นอย่างดีเพียง 1 คืน แต่เรื่องร้ายก็เกิดจนได้ เมื่อพวกเขาทั้งหมดดันไปเจอกับโจรกระจอกผัวเมียที่ซ่า ปล้นร้านอาหารที่ตัวเองเพิ่งเข้ามารับประทานไปเมื่อกี๊…โดยหารู้ไม่ว่าวันนี้เป็นวันที่ วอลเลซ เจ้านายของมือปืนคู่หูอารมณ์เดือดพล่าน เพราะแผนล้มมวยที่วางไว้ถูก บุตช์ คอลลิดจ์ หักหลัง หวังรับเงินรางวัลก้อนใหญ่กว่า ไม่เพียงแต่ชกชนะแต่ บุตช์ ดันปล่อยหมัดน็อกคู่ต่อสู้จนวิญญาณไปสู่ยมโลกอีกด้วย…มีแต่เรื่องให้เจ้าพ่อขัดใจ งานนี้ไม่ใครก็ใครต้องโดนสำเร็จโทษแน่นอน!
9. The Good, the Bad and the Ugly (มือปืนเพชรตัดเพชร) (1966) – Rate 8.9
หนังดำเนินเรื่องราวอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองในอเมริกา ว่าด้วยเรื่องราวของขุมทองและชายสามคนที่ต้องการมัน ประกอบด้วยคนที่หนึ่ง “ไอ้เก่ง (The Good)” บุรุษนิรนามผู้มีฝีมือยิงปืนแม่นราวจับวาง (Clint Eastwood) คนที่สอง “ไอ้เลว (The Bad)” นายทหารยศสูงผู้มีอีกโฉมหน้าหนึ่งเป็นมือปืนรับจ้างผู้หวังจะฮุบทองคำทั้งหมดเอาไว้คนเดียว (Lee Van Cleef) และคนที่สาม “ไอ้อัปลักษณ์ (The Ugly)” โจรกระจอกผู้ไม่ยอมให้อะไรมาขวางทางระหว่างตัวเองกับขุมทองทั้งนั้น (Eli Wallach) ซึ่งสุดท้ายแล้ว ใครจะได้ทองไปครอบครองก็ต้องไปติมตามในหนังกันนะครับ
10. Fight Club (ดิบดวลดิบ) (1999) – Rate 8.8
นอร์ตัน รับบท แจ็ค ชายผู้เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ผู้พยายามหาทางออกให้แก่ชีวิตอันน่าเบื่อของตนเองจนเมื่อเขาได้พบ ไทเลอร์ เดอร์เดน (พิทท์) เซลส์แมนขายสบู่ ผู้มาพร้อมปรัชญาแหกคอกที่ว่า การสะสมมีไว้สำหรับคนอ่อนแอ แต่คนกล้าของแท้ต้องรู้จักละทิ้ง ชีวิตที่จืดชืดของแจ๊คจึงแปรผันไป… เขาและไทเลอร์เริ่มชกต่อยกัน ณ ลานจอดรถหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งนำชายฉกรรจ์อีกมากหน้ามาเข้าร่วม และรวมกันก่อตั้งสังเวียนลับที่พวกเขาเรียกว่า “ไฟท์ คลับ”
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : IMDb, Zae50120, Apple101, Mal De Pierres, Apple101, mmiind pm, nangdee, Wikipedia